เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม 2564
เรื่อง การเจริญเมตตาอัปมานฌาณ
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
สวัสดีครับทุกท่าน เสียงชัดเจนดีนะครับ เดี๋ยวรออีกสักครู่นึงก่อน ขออภัยด้วยที่ช้านิดนึงเพราะว่าไปส่งพลังแห่งความโชคดี ที่ห้องอ่า คนที่เรียนคลอสพลังแห่งความโชคดีนะครับ ก็เดี๋ยวสำหรับเมตตาภิรมย์ก็อีกสักครู่ รอเข้ามาครบอีกนิดนึง เราก็ได้เริ่มฝึกสมาธิพร้อมกันนะครับ
ในระหว่างที่รอเพื่อนๆ เราแต่ละคนก็อยู่ในอริยาบทสบายๆ ร่างกายผ่อนคลาย จิตใจปล่อยวาง อยู่กับลมหายใจสบายๆ จนรู้สึกสัมผัสได้ถึงความสงบของจิต ใจสบาย ๆ ยิ่งปล่อยวางร่างกายมากเท่าไหร่ ความรู้สึกที่เราปล่อยวางร่างกายนั้นก็คือ อารมณ์ที่เราตัดร่างกาย ตัดขันธ์ 5 จิตไม่ห่วง ไม่เกาะ ไม่ยึด ไม่สนใจ ในอาการที่ปรากฏขึ้นทางร่างกาย เพื่อให้รูปนาม แยกกัน กายละจิตแยกกัน กายเนื้อกับกายทิพย์ หรืออาทิสมานกายแยกกัน เมื่อแยกรูป แยกนาม แยกความรู้สึก ที่เกาะจากร่างกายออกมา กำหนดรู้อยู่ที่จิตได้มากเท่าไหร่ ปัญญาที่เกิดขึ้น ทำให้เรารู้เข้าใจว่า การเกาะร่างกาย ความสนใจ ความติด ความยึดในร่างกายนั่นแหละคือตัวที่ทำให้เราเกิดความทุกข์ ให้เราพิจารณาในธรรมะ
เวลาที่เราสนใจจดจ่อกับร่างกายมากเท่าไหร่ ความรู้สึกที่มันสัมผัส ถึงอาการที่เกิดขึ้นทางกายมันจะยิ่งชัดเจนมากเท่านั้น แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราปล่อยวางความสนใจในร่างกาย จิตมาอยู่ในสมาธิ จิตเข้ามาอยู่ในความสงบของจิตสมาธิในระดับฌาน พอสมาธิมันเข้าระดับสูงขึ้น ร่างกายมันกลับหายไป เพราะว่าจิตเราไม่ไปเกาะ ไปจับ สภาวะของสมาธิหรือฌานที่มันละเอียด มันมีสมาธิขั้นสูงขึ้นจนกระทั่งร่างกายหายไปนั้น ก็คือเรามาอยู่กับจิตอย่างสมบูรณ์ แยกกาย แยกจิต ออกมาอย่างสมบูรณ์ การทำสมาธิส่วนนึง ยิ่งปล่อยวางร่างกายมากเท่าไหร่ ตัดขันธ์5 มากเท่าไหร่ จิตยิ่งเกิดกำลัง ยิ่งเกิดความสงบ ยิ่งเกิดความเป็นทิพย์มากขึ้นเพียงนั้น ความรู้สึกในเวทนา ความรู้สึกที่ปวดเมื่อยทั้งหลาย มันจะข้ามผ่านไป เมื่อข้ามผ่านไปปุ๊บ มันมาอยู่กับการดู การรู้ การเห็นในจิต มารู้มาเห็นในญาณเครื่องรู้ของจิต มารู้ มาเห็น ในสภาวะความเป็นไปของอาทิสมานกายของกายทิพย์ ให้เรากำหนดรู้ กำหนดใช้ด้วยใจที่เป็นอุเบกขา วางเฉยต่อร่างกาย วางเฉยต่ออารมณ์ความรู้สึกที่มากระทบทางอายตนะ คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่ส่งผ่านมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และแม้กระทั้งที่มากระทบใจของเรา อุเบกขากำหนดวางเฉย รู้แล้ววาง รู้แล้วพิจารณา รู้แล้วพิจารณาว่าทุกข์หรือสุข รู้แล้วเราพิจารณาว่าเราวางเฉย ยิ่งปรุง ยิ่งทุกข์ ยิ่งวางเฉยได้ อุเบกขาต่อสิ่งที่รู้ สิ่งที่มากระทบ สิ่งที่มาสัมผัสทางอายตนะมากเท่าไหร่ ใจเราก็ปล่อยวางและก็รู้ทันสภาวะความเป็นไปของจิต รู้เท่าทันสภาวะความเป็นไปในขันธ์5 ปัญญาก็ยิ่งปรากฏเฉียบคมมากขึ้น ลึกซึ้งมากขึ้น รู้เท่าทันสภาวะมากขึ้น
จิตอยู่กับความสงบ ปล่อยวาง จิตอยู่กับความผ่องใส จากนั้นสังเกตดูว่าลมหายใจของเราสบายไหม เบาไหม เมื่อลมหายใจของเราเบา ลมหายใจของเราสบาย ลมหายใจของเราละเอียด เราพิจารณาดูว่า อารมณ์ใจของเราเป็นสุข มันมีความเบา มีความสบายมั้ย ความเบา ความสบายที่ปรากฏ มันเกิดขึ้นจากความสงบของจิต จิตที่เราได้พักอยู่กับความสงบ จิตของเราที่ได้พักจากการปรุงแต่ง ในแต่ละวันให้เราลองพิจารณาดูว่า จิตเราซัดส่ายไปในเรื่องราวต่าง ๆ ที่มากระทบ มากมายหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่นเรื่อง จิตเราเหนื่อยไปกับความคิดปรุงแต่ง ความกังวลทั้งหลายมากมาย เราพักจิตพักใจของเราอยู่กับความสงบเย็น เราพักจิตพักใจของเราอยู่กับกระแสของธรรม ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมชาติแห่งความสงบเย็น ธรรมชาติแห่งพุทธะ ให้ใจของเราเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ใจเรารู้เท่าทันร่างกายขันธ์5 สังขารทั้งปวง ใจเราตื่นขึ้นสู่กระแสธารแห่งธรรมะ ความสงบเย็น ใจเราเบิกบานในกระแสธารแห่งธรรม เอิบอิ่มผ่องใสเป็นทิพย์ จากนั้นกำหนดจิตของเราให้สว่างผ่องใสเป็นดวงแก้ว เป็นเพชรระยิบระยับ เป็นประกายพฤกษ์ จิตเป็นดวงสว่าง เป็นเพชรประกายพฤกษ์สว่าง
จากนั้นตั้งจิตอธิษฐานขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอให้ปรากฏภาพพุทธนิมิตร คือองค์พระพุทธรูปปรากฏชัดเจน อยู่ในดวงจิตของข้าพเจ้า เมื่อกำหนดภาพของพระพุทธองค์อยู่ในจิตยิ่งสว่างขึ้น ยิ่งใสขึ้น สว่างขึ้น ตำแหน่งของดวงจิตนั้นให้อยู่ที่บริเวณในกายของเราบริเวณท้องน้อย บริเวณที่ตั้งของจิต กำหนดจิต กำหนดใจของเราสว่าง
จากนั้นอธิษฐานจิต ขอกระแสแห่งพุทธานุภาพที่ปราฏกเป็นพุทธนิมิตรในจิตของเรา เกิดฉัพพันธรังสีสว่างไปทั่วร่างกายของเรา ฟอกร่างกาย ธาตุขันธ์ เกิดรัศมีกำลังแห่งพุทธะ เป็นพุทธบารมีคุมกายของเรา คุมบ้านของเรา จนรู้สึกได้ว่าบ้านของเราตอนนี้สว่าง ตั้งจิตอธิษฐานว่าขอพุทธบารมีของพระพุทธองค์ ขอได้จงแผ่ไปยังเครื่องรางของขลังทั้งหลายของข้าพเจ้า พระพุทธรูปทุกองค์ของข้าพเจ้าในบ้าน พระเครื่องทั้งหลาย วัตถุมงคลทั้งหลายในบ้าน ขอเกิดกำลังแห่งพุทธานุภาพขึ้นเต็มกำลังด้วยเทอญ ด้วยกระแสแห่งพระพุทธองค์ จนรู้สึกว่า เครื่องรางของขลังทั้งหลาย พระบรมสารีริกธาตุ พระเครื่อง พระพุทธรูป ตะกรุด ผ้ายันต์ ปรากฏเป็นเพชรสว่าง มีรัศมี มีแสงสว่างออกมา ลูกประคำทุกลูก เป็นเพชรสว่าง พระยันต์ทุกผืน ลายเส้นผ้ายันต์เป็นเพชร ตั้งจิตอธิษฐานว่าขอกำลังแห่งพุทธานุภาพนี้ ขอจงช่วยป้องกันพยัญอันตรายทั้งหลาย สัพโรคะ สัพอันตราย กระแสของกรรม กระแสของเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ขอจงเบาบางสลายตัวไป ขอกำลังแห่งพุทธานุภาพปกปักษ์รักษาคุ้มครอง ตัวข้าพเจ้าและครอบครัวให้ปลอดภัย จากวิบากกรรม จากอกุศลกรรม จากกระแสของเจ้ากรรมนายเวร จากโรคภัยไข้เจ็บ โรคระบาดทั้งหลาย
จากนั้นตั้งจิตอธิษฐานต่อไป แผ่เมตตา ตั้งจิตให้มีกระแสความสว่าง ความสงบเย็น ตั้งจิตรำลึกนึกถึงบุญกุศลทั้งหลายของเรา น้อมรำลึกนึกถึงทาน ศีล ภาวนา ความดีทั้งหลาย สังฆทานทั้งหลายที่เคยถวาย เคยสร้าง พระพุทธรูปที่เคยร่วมถวาย เคยสร้าง การตักบาตร การทำบุญ การทอดกฐิน ผ้าป่า บุญกุศลทั้งหลาย โดยจำเพาะอย่างยิ่งบุญกุศลในเขตพระพุทธศาสนา กระแสกุศลแห่งการเจริญกรรมฐาน น้อมจิตให้เกิดเป็นความเอิบอิ่มผ่องใสขึ้นมาในจิตของเราสว่าง ขอบุญทั้งหลายจงมารวมตัวกันน้อมให้เห็นเป็นแสงสว่างจากทุกทิศทุกทาง น้อมให้เห็นเป็นแสงสว่างพุ่งมาจากทุกช่วงแห่งกาลเวลา ทุกชาติภพ เป็นกระแสบุญ ไหลพุ่งส่งตรงลงมายังจิตของเรา กายของเรา จนจิตของเราสว่าง ภาพนิมิต ดวงแก้ว ดวงจิต ภาพองค์พุทธะในจิตของเราสว่างผ่องใส
จากนั้นน้อมขอบารมี พุทธบารมีของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ มีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยเจ้าทั้งหลาย เทพพรหมเทวา ทั้งหลาย ท่านท้าวสหัมบดีพรหม ท่านปู่ ท่านย่า พระอินทร์ ท้าวมหาราชทั้ง 4 ท่านพญายมราช อินทร์ ครุฑ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั่วสากลพิภพ น้อมรวมกระแสแผ่เมตตาออกไป ไม่มีประมาณ ขอกระแสครูบาอาจารญ์ หลวงปู่ หลวงพ่อ หลวงตา ทุกรูป ทุกนาม ทุกพระองค์ แผ่เมตตาเป็นกระแสแสงสว่าง เป็นรัศมีโดยรอบ สว่างออกไปจากกายของเรา บ้านของเรา แผ่สว่างออกไปโดยรอบ ทั่วเมืองที่เราอาศัยอยู่ แผ่สว่างถึงประเทศที่เราอาศัยอยู่ แผ่สว่างปกคลุมทั่วโลก สลายล้างโรคภัยไข้เจ็บ สลายล้างบรรเทากรรมทั้งหลาย วิบากทั้งหลาย แผ่เมตตาสว่าง น้อมจิตขอกระแสแห่งเมตตาฌาน ที่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้ร่วมจิตเจริญ เมตตาอัปมาณฌานนี้ จงสลายความโกรธแค้น ความอาฆาต การจองเวรพยาบาททั้งปวงของดวงจิตทั้งหลาย ทั้งมนุษย์ ทั้งอมนุษย์ ทั้งเจ้ากรรมนายเวรทั้งปวง ดวงจิต ดวงวิญญาณของเปรต อสุรกายทั้งปวง มารทั้งหลาย ขอจงสลายล้างความอาฆาตแค้น พยาบาท ขอจงสลายล้างเป็นการอโหสิกรรม เป็นโมฆะกรรม แผ่เมตตาสว่างออกไป ทั่วโลก ทั่วจักรวาล
และเราก็ตั้งจิตน้อมอธิษฐาน ตัวเราก็ขอน้อมจิต ขอขมาต่อดวงจิต ดวงวิญญาณทั้งหลาย ที่เราเคยล่วงเกิน ที่เราเคยเบียดเบียน ที่เราเคยเอารัดเอาเปรียบ โดยจำเพาะอย่างยิ่งให้เราเริ่มตั้งแต่
ขอกราบขมาพระรัตนตรัย
สัพพัง อะปะระธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ทะวารัตตะเย นะ กะตัง
สัพพัง อะปะระธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต
ข้าพเจ้าขอขมาต่อพระรัตนตรัย ในสิ่งที่เคยประมาท พลาดพลั้ง ล่วงเกินต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยกาย วาจา ใจ จะเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี รำลึกได้ก็ดี รำลึกไม่ได้ก็ดี ทำในอดีตก็ดี ปัจจุบันก็ดี ทำในอดีตชาติก็ดี ทำในชาตินี้ก็ดี ข้าพเจ้าขอกราบขมาลาโทษต่อพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลาย พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ไม่ว่าจะชาติใด ภพใด ขอท่านทั้งหลายได้โปรดงดโทษต่อข้าพเจ้านับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปด้วยเทอญ
จากนั้นให้เราตั้งใจนะ น้อมด้วยใจของเรา ว่าเราขอโทษจริงๆ ขอขมาจริงๆ จากจิตจากใจของเรา และก็ตั้งใจต่อไปว่า ตัวเราก็ขอให้มหาอภัยทาน ข้าพเจ้าขอยกโทษ อดโทษ ต่อท่านทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินต่อข้าพเจ้า ทางกาย วาจา ใจ เคยพรากชีวิต เคยฆ่า เคยเบียดเบียน เคยทำร้าย เคยใส่ร้าย เคยกล่าวโทษ เคยล่อลวง ไม่ว่าท่านจะเบียดเบียนข้าพเจ้าในชาติใด ภพใด หรือในชาติปัจจุบ้นนี้ก็ตาม เอาเปรียบข้าพเจ้าด้วยเหตุประการใดก็ตาม ข้าพเจ้าของดโทษ อดโทษต่อท่าน ขอให้อภัยทานทั้งหลาย ยกเป็นอโหสิกรรม เป็นโมฆะกรรม ไม่มีกรรม มีเวรต่อกัน ไม่มีวิบาก ไม่มี ความอาฆาตแค้นต่อกัน ขอให้การยกมหาอภัยทานนี้ จงยิ่งยก จนสลายล้างความอาฆาต พยาบาท จองเวรทั้งปวงในจิตของข้าพเจ้า ให้หมดสิ้นไปหมด
ให้อภัย ให้ใจเราเบา ให้อภัย ด้วยใจของความเป็นอริยะ ให้อภัยด้วยใจอันเปี่ยมไปด้วยเมตตา ให้อภัยเพื่อใจเราได้ใกล้พุทธะ ให้อภัยจนใจของเราสบาย สว่าง ใจผ่องใสสว่าง เมื่อใจของเราละเอียดขึ้น เบาขึ้น สะอาดบริสุทธิ์ขึ้น การละ การตัดความอาฆาตพยาบาท เป็นการตัดสังโยชน์ ซึ่งเป็นองค์ของพระอนาคามี ยิ่งใจของเราอโหสิกรรมบ่อยมากเท่าไหร่ ให้การอโหสิกรรมเพื่อให้เกิดโมฆะกรรมมากเท่าไหร่ จิตเราก็ยิ่งเข้าสู่ความใกล้ การใกล้เข้าถึงความเป็นอริยะขั้นสูงมากขึ้น ความอาฆาตพยาบาทนั้น มีแต่การแผดเผาเจ้าของใจนั้นเอง เรายิ่งวาง เรายิ่งอโหสิกรรม เรายิ่งให้ มหาอภัยทานมากเท่าไหร่ บ่อยเท่าไหร่ ใจเราก็ยิ่งตัดกิเลสในข้อของโทสะ ความโกรธ โดยที่เป็นตัวใหญ่ ก็คือความอาฆาต พยาบาทจองเวร ซึ่งความอาฆาตพยาบาทจองเวรนั้น อันที่จริงก็คือ ตัวก่อภพต่อชาติ ยิ่งอาฆาต พยาบาทจองเวรมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งไปเกิดไปพบไปเจอ กับคนที่เราเกลียด คนที่เอาเปรียบเรา คนที่เคยทำร้ายเรา กลับกลายเป็นเครื่องดึงดูดให้เราไปพบเจอคนที่เราไม่อยากเจอ ยิ่งเราให้อภัย ยิ่งอโหสิกรรม ยิ่งให้อภัยทานมากเท่าไหร่ บ่อยเท่าไหร่ สายโยงใยของกรรมที่ผูกโยงไว้กับบุคคลทั้งหลายก็ขาดลง สลายลงไป ชาติภพของเราก็พลอยสั้นลง ลดลง ใกล้พระนิพพาน ใกล้มรรคผลขึ้นตามลำดับ
ให้ใจของเราเกิดปัญญา ปล่อยวางความอาฆาตแค้นพยาบาททั้งป่วง ให้มหาอภัยทาน อโหสิกรรมกับทุกดวงจิต ทุกเหตุการณ์ ทุกวาระ ขอให้อภัยกับทุกดวงจิต ขอแผ่เมตตาให้อภัยกับทุกดวงจิต แผ่เมตตาสว่าง ขอกระแสแห่งการให้อภัยจงเกิด ส่งผลถึงดวงจิตทั้งหลายของคนของดวงจิตที่ปรากฏอยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้ด้วยเทอญ
การให้อภัยการแผ่เมตตาเป็นเหมือนกับน้ำเย็น ที่ดับล้างความเร่าร้อนบนโลก ดับล้างความเร่าร้อนภายในดวงจิตดวงใจของมนุษย์ อมนุษย์ทั้งหลาย ขอความเมตตา การอโหสิกรรม การให้อภัยจงเป็นกระแสไปถึงทุกดวงจิต ทั่วโลก ทั่วจักรวาลขณะนี้ด้วยทอญ
ขอกระแสกรรมทั้งหลายจงคลายตัวลง เบาตัวลง ขอกระแสเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่มีต่อข้าพเจ้า ครอบครัวข้าพเจ้า ประเทศชาติของข้าพเจ้า จงสลายจงคลายตัวลงด้วยเทอญ จากนั้นให้เราตั้งใจกำหนดความรู้สึกที่จิต ภาพองค์พระ พุทธนิมิตยิ่งสว่างชัดเจนขึ้น องค์ภาพพระท่านยิ้ม สว่างเป็นเพชรยิบระยับ อารมณ์จิตของเราผ่องใส อารมณ์จิตเราละ ตัด เบาบางจากความอาฆาตแค้นพยาบาท
กำหนดน้อมจิตขออาราธนาบารมีพระ ให้ปรากฏอาทิสมานกาย กายพระวิสุทธิเทพของเรา ยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพาน อยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐม พร้อมด้วยพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอรหันต์ขีณาสพทุกพระองค์ บนพระนิพพานด้วยเทอญ
ยกจิตขึ้นไปสว่างนะ กำหนดให้เห็นอาทิสมานกาย กายพระวิสุทธิเทพของเราชัดเจน แล้วกราบ ทุกท่าน ทุกรูป ทุกนาม กราบสมเด็จองค์ปฐม จากนั้นกำหนดให้อาทิสมานกายของเราอธิษฐาน ขอไปปรากฏในวิมานบนพระนิพพานด้วยเทอญ
ตั้งจิตอธิษฐานขอกายของเราที่ปรากฏบนพระนิพพานนั้น น้อมจิตพิจารณาในธรรมะ พิจารณาว่าจิตของเรา เห็นความวุ่นวายเร่าร้อนบนโลกที่ปรากฏขึ้น โรคภัยไข้เจ็บที่ปรากฏขึ้น มรณะการ ความตายที่เกิดขึ้นจากโรคระบาดโรคภัยไข้เจ็บนั้น ทำให้เราเกิดปัญญามองเห็นความไม่เที่ยงของชีวิต เห็นร่างกายที่เป็นรังของโรค ร่างกายของทุกคนล้วนแต่สามารถ ที่จะเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นตัวแพร่เชื้อได้ด้วยกันทั้งสิ้น ให้เราพิจารณาให้เห็นว่า ธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนว่าตราบใดยังมีร่างกายขันธ์ 5 ตราบนั้นเราก็ยังมีความทุกข์ ตราบใดที่เรายังเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฎนี้ ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องเวียนเกิดเวียนตายมาเป็นมนุษย์ มามีร่างกายแบบนี้ มาพลัดพรากจากของรักของเจริญใจทั้งหลายทั้งปวง เราพิจารณาแล้วจึงเห็นคุณในพระนิพพาน การไม่เกิด การดับไม่เหลือเชื้อ เชื้อที่ว่าคือเชื้อที่อยากเกิด อยากไปพบเจอกับบุคคลทั้งหลาย ความผูกพันระหว่างบุคคลทั้งหลาย ความเกาะ ความติดในวัตถุทั้งหลาย ความหลงในภพ ความสุขในภพ หลงอยู่กับอารมณ์รัก อารมณ์โลภ อารมณ์โกรธ อารมณ์หลง เมามันส์อยู่กับการอาฆาตแค้นพยาบาทจองเวรกัน
ให้เรากำหนดในความเป็นอาทิสมานกาย กายพระวิสุทธิเทพ กำหนดพิจารณาว่าใจของเรา ปล่อยวางจากความเกาะความห่วงใยบุคคลทั้งหลายได้ไหม ตัดความห่วงใยในวัตถุทรัพย์สินทั้งหลายได้ไหม ตัดความห่วงความกังวลในกิจการงานทั้งหลายได้ไหม ยังอาลัยในภพ ไม่ว่าจะเป็นภพแห่งนาค ภพแห่งสวรรค์ ภพแห่งพรหม ภพแห่งการเป็นมนุษย์
จิตเราเกิดนิพพิทาญาณ คือความเบื่อหน่ายในสังสารวัฎหรือยัง พิจารณาจนจิตของเราเห็นกระแสของธรรมะ เบื่อหน่ายการเวียนว่ายตายเกิดทั้งหลาย จิตจดจ่ออยู่จุดเดียวคือพระนิพพานเป็นอารมณ์ ตั้งจิตพิจารณาว่า หากเราเข้าถึงพระนิพพานในชาตินี้แล้ว กิจทั้งหลายก็จบสิ้นแล้วหนอ ความพลัดพรากทั้งหลายก็ไม่ปรากฏขึ้นกับเราอีก การเวียนว่ายตายเกิด การกระทบกระทั่งอารมณ์กัน ความพลัดพรากจากของรักของเจริญใจทั้งหลายก็ไม่มีอีกต่อไป
จิตเราอยู่จุดเดียว คืออยู่กับพระพุทธองค์บนพระนิพพาน จิตเรายินดีในพระนิพพาน มีความรักคือธรรมฉันทะ อยู่กับพระนิพพานไหม ให้เรากำหนดถามจิตตอบจิตของเรา หากเรายินดีในพระนิพพานก็ตั้งใจให้เด็ดเดี่ยว ว่าเมื่อเรายกจิต ยกอาทิสมานกาย มาบนนิพพานได้ วิมานบนพระนิพพานได้ปรากฏแล้ว ดังนั้นเราก็อยู่ในวิสัยที่เราสามารถเข้าถึงพระนิพพานได้ในชาตินี้ เราจะละโอกาสนี้ไป หากแม้นว่าเราไม่เข้าชาตินี้ ชาติหน้าเราจะพบกับครูบาอาจารย์ พระอริยเจ้าที่สอนให้เราเข้าถึงอารมณ์ขนาดนี้ได้อีกหรือไม่ เราจะพบกับครูบาอาจารย์ที่ทรงอภิญญาสมาบัติ สามารถสั่งสอนอบรมจนกระทั่งเราเห็นธรรมะ เห็นคุณแห่งพระนิพพานได้แบบนี้อีกหรือไม่
ให้เราพิจารณาว่า หากเราพลาด เราหลุดจากโอกาสแห่งมรรคผลไป เราอาจจะหลุดไปอีกหลายแสน หลายโกฏิ หลายล้านชาติหรือแม้แต่หลุดไป พ้นไปจากยุคภัทรกัปนี้ก็ได้
พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ว่า จงอย่าได้ประมาท ไอ้คำว่าอย่าได้ประมาทนั้นหมายความ มีความครอบคุมลึกซึ้ง ประมาทนั้นก็คือ ประมาทว่าเราทำได้แล้วเห็นพระนิพพานแล้ว ปฏิบัติได้ขนาดนี้แล้ว ถ้าเราประมาทก็คือ เรายังไม่ยอมไปพระนิพพาน หรือเราประมาท ก็คือประมาทว่าเราไม่พิจารณาว่า เรานี่อายุเท่าไหร่ก็ตาม เราตายได้เสมอ ตายเมื่อไหร่ เราจะไปไหน จิตเราตอบว่าไปพระนิพพานจุดเดียวหรือไม่ จิตเราประมาทในความตายหรือไม่ จิตเราประมาทในการปฏิบัติหรือไม่ เราประมาทเพลิดเพลินอยู่กับโลกมากเกินไปหรือไม่ ให้เราคิดพิจารณา ตั้งจิตเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด
ตั้งกำลังใจจะว่าเราจะยกจิตขึ้นมา กราบพระพุทธองค์บนพระนิพพานทุกวันให้ได้ ตั้งใจว่าชาตินี้เราจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพานให้ได้ เราจะต้องจบกิจให้ได้ เมื่อเราตั้งกำลังใจให้เด็ดเดียวแล้ว ก็กำหนดให้อาทิสมานกายของเรา เกิดความยินดีในธรรม ปรากฏแสงสว่างฉัพพันธรังษี เป็นรัศมีจากกายทิพย์ อาทิสมานกาย กายพระวิสุทธิเทพของเราสว่าง ใจเป็นสุขใจ ใจเอิบอิ่ม ใจเด็ดเดี่ยวมั่นคงอยู่กับพระนิพพาน
จากนั้นแผ่เมตตา กระแสจากพระนิพพานแผ่ลงไปบนโลกมนุษย์ สลายล้างความอาฆาตแค้นพยาบาท การจองเวรกัน การคิดประทุษร้ายกัน น้อมกระแสจากพระนิพพานลงมาบนโลก ขอกระแสธรรมชำระล้าง อวิชาทั้งหลาย ความมืดบอดทั้งหลาย ความหลงผิดทั้งหลาย ขอกระแสธรรมะ ชำระล้าง เพื่อนำให้โลกใบนี้เข้าสู่ยุคแห่งชาววิไล ผ่านพ้นยุคที่เป็นกลียุคนี้ไปให้ได้
แผ่เมตตาสว่างลงมาบนโลก น้อมกระแสจากพระนิพพานลงมาบนโลก ตั้งจิตอาราธนาบารมีกระแสแห่งพุทธะ กระแสแห่งพระพุทธองค์ มีสมเด็จองค์ปฐมและพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ บนพระนิพพาน พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอรหันต์ขีณาสพ พระอริยเจ้าทุกพระองค์ เป็นกระแสบุญศักสิทธิ์จากพระนิพพาน ส่องตรงลงมาบนโลกใบนี้ สว่าง
ขอวิบากกรรมจงบรรเทาเบาบางลง ขอกระแสลบ กระแสแห่งอกุศล จงบรรเทาเบาบางลง ขอกระแสบุญจากพระนิพพาน ส่องสว่างลงไปยังวัดวาอารามทั้งหลาย สถานปฏิบัติธรรมทั้งหลายพระพุทธรูป วัตถุมงคลทั้งหลายของทุกๆ คน ขอกระแสจากนิพพาน ส่องตรงไปยังพระบรมพระธาตุ พระธาตุเจดีย์ พระเจดีย์ พระบรมสารีริกธาตุ พระบรมธาตุทุกองค์ ขอกระแสจากพระนิพพานส่งตรงลงไปยังกายเนื้อของข้าพเจ้า เป็นลำแสงสว่าง ชำระล้างฟอกธาตุขันธ์ ร่างกาย สลายโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวงออกไปจากธาตุขันธ์ของข้าพเจ้า ขอกระแสบุญจากพระนิพพานส่องตรงลงมา สลายล้างอวิชาทั้งปวง สลายล้างความโลภ ความโกรธ ความหลง ออกไปจากใจของข้าพเจ้า สลายล้างความทุกข์ สิ่งที่เป็นอัปมงคลทั้งหลายจงสลายตัวไป
ขอธาตุขันธ์ กาย วาจา ดวงจิตของข้าพเจ้ามีแต่ความบริสุทธิ์ มีแต่ความหมดจด มีแต่ความสว่างไสวและเป็นทิพย์ ขอจิตข้าพเจ้า จงมีแต่ความเอิบอิ่มแช่มชื่นเบิกบาน ใจสบายๆ ความรู้สึกในความเป็นอาทิสมานกาย บนพระนิพพพานยังสว่างแก้วประกายพฤกษ์ ระยิบระยับ เห็นละเอียดทุกอย่างชัดเจนอยู่ รู้สึกว่าเราเป็นกายพระวิสุทธิเทพอยู่ข้างบนพระนิพพาน และกำหนดว่ากายพระวิสุทธิเทพนั้นบริกรรม ทำสมาธิทรงอารมณ์พระนิพพานไว้
นิพพานัง ปรมังสุขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
ให้อารมณ์ความรู้สึกของจิตอาทิสมานกายนั้น เอิบอิ่ม สว่างแย้มยิ้มเต็มกำลัง
นิพพานัง ปรมังสุขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
ดวงจิตของข้าพเจ้าเป็นสุขสว่าง สะอาดสงบอย่างยิ่ง
นิพพานัง ปรมังสุขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
ใจสบายผ่องใส ใจแนบอยู่กับพระนิพพาน จากนั้นให้เรานะตั้งกำลังใจ กรรมฐานสมาธิที่เราเจริญในวันนี้ เราตั้งใจว่าขอน้อมถวายพระพุทธองค์ ยกอาทิสมานกาย กายพระวิสุทธิเทพของเรา ไปหน้าสมเด็จองค์ปฐมและพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ คุณพระอาจารย์ ทุกรูป ทุกนาม พระอรหันต์ทั้งหลาย ตั้งจิตอธิษฐานว่าขอให้กรรมฐานที่เราเจริญนั้นเป็นปฏิบัติบูชา ขอกำลังบุญแห่งการปฏิบัติบูชา การเจริญจิตภาวนา อารมณ์สมาธิ อารมณ์มโนมยิทธิ อารมณ์ของพระนิพพานผ่านอุปมานุสติ การเจริญเมตตาพรหมวิหารทั้งหลาย การเจริญมุทิตาอัปมานฌาน ขอตั้งจิตอธิษฐานจงเกิดเป็นพานดอกบัวแก้ว น้อมถวายบูชา เป็นพุทธบูชา ธรรมะบูชา สังฆบูชา บิดามารดาบูชา ครูบาอาจารย์บูชา ถวายพระพุทธองค์
และน้อมกราบแทบเบื้องพระบาทของสมเด็จองค์ปฐม จากนั้นขอพุทธานุญาติ ขอพระองค์ทรงเมตตาทรงโปรดแผ่กระแสลงมาสู่กายทิพย์ ลงมาสู่กายเนื้อของข้าพเจ้าด้วยเถิด ก้มกราบแล้วรับกระแสดูว่าท่านสัมผัสที่ไหน ส่งกระแสลงไปที่ไหน แต่ละคนอาจจะรู้สึกเหมือนกันนะ ให้น้อมรับกระแสไว้ บางคนท่านสัมผัสที่ศีรษะ บางคนสัมผัสที่ด้านหลังศีรษะ บางคนท่านเมตตาส่งกระแสผ่านไปทางหลังนะ บางคนท่านก็สัมผัสจับที่มือที่ประนมกราบเรา แต่ละคนไม่เหมือนกันน้อมรู้สึกสัมผัส ซึมซับรับกระแสแห่งพุทธานุภาพไว้
จากนั้นกราบนะ กราบขอบคุณ แล้วก็กราบลา พระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ ทุกๆ พระองค์ ตั้งใจว่าเราเขาจะมีความเพียรปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาขณะนี้ เพื่อกำลังบุญของเราจะได้มีกำลังมาช่วยบ้านเมือง มาช่วยส่วนรวมนะ ตั้งใจ จากนั้นตั้งจิตน้อมอาทิสมานกาย กลับมาที่กายเนื้อของเรา แล้วก็หายใจเข้าลึกๆใจสบายๆ ผ่องใส จิตยังจดจ่อ รำลึกนึกถึงพระนิพพาน
หายใจเข้าพุท ออกโธ ใจสบายสงบ
หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ ครั้งที่สอง ธัมโม คุณของพระธรรมรักษาคุ้มครอง
หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ ครั้งที่ 3 สังโฆ กำลังแห่งครูบาอาจารย์ พระอริยเจ้า พระอริยสงฆ์ทรงคุ้มครองรักษา
แล้วค่อยๆ ถอนจิตออกจากสมาธิ ถ้าเป็นไปได้คนไหนที่มีแผ่นทองก็เขียนแผ่นทองยกจิตอธิษฐานเขียนแผนทองไว้ด้วยทุกวันนะ แล้วก็จะมีจุดนึงที่อยากให้ฝึก ถ้าคนไหนมีลูกประคำเส้นยาว 108 ลูก ก็ให้ลองฝึกนะ ตั้งจิตกราบพระพุทธเจ้า ขึ้นไปอยู่บนพระนิพพาน กำหนดให้เห็นอาทิสมานกายของเรา กายทิพย์เป็นอทิสมานกาย กายพระวิสุทธิเทพ อยู่บนพระนิพพาน บริกรรม นิพพานัง ปรมังสุขัง ด้วยจิตเป็นสุขที่สุด แล้วก็ชักลูกประคำ 1 เม็ด กายเนื้ออยู่บนโลกชักลูกประคำ แต่จิตจดจ่อที่จะทรงอารมณ์ในความเป็นพระวิสุทธิเทพบนพระนิพพาน และบริกรรม
นิพพานัง ปรมัง สุขัง ไปเรื่อยๆ จนครบ 108 จบทำให้ได้ทุกวัน แล้วจิตใจยิ่งแนบขึ้น อยู่กับนิพพานมากขึ้น ทรงตัวมากขึ้น ในกำลังของมโนมยิทธินะครับ อันนี้ก็ฝากไว้นะ ให้เราปฏิบัติให้เข้มข้นขึ้นหน่อย
สำหรับวันนี้ก็โมทนาบุญกับทุกๆคนด้วย ก็ให้เราทุกคนตั้งจิตตั้งใจโมทนาสาธุกับบุญกุศลของเราทุกคนที่มาเจริญจิต เจริญพระกรรมฐานกันในวันนี้ แล้วก็ขอยินดีกับเพื่อนเราที่ปฏิบัติธรรมแล้วก็พบเจอตัว แล้วกลับมา แล้วคุณเฟิร์นก็กลับมาปลอดภัย ไม่มีปัญหาอะไรนะครับ ก็ใน 3 วัน 7 วัน ตามที่พวกเราช่วยกันนั่งสมาธิ ตั้งจิตตั้งใจช่วยกัน สำหรับบุญกุศลช่วงนี้ก็อยากให้เราระมัดระวังตัวนิดนึง เจ้ากรรมนายเวรโดยรวมตอนนี้ เขาปลดปล่อยมาค่อนข้างแรงนะ จะมีคนที่ปฏิบัติธรรมก็ยังมีบางคนที่เจอ แต่ก็พยายามอาราธบารมีพระคุมไว้เสมอ เพื่อป้องกันนะ ครูบาอาจารย์หลายท่าน หลายรูป ท่านก็เตือนว่าให้ใส่เสื้อขาว ใส่เสื้อที่สว่าง อย่าใส่เสื้อมืดๆ ทึมๆ ทึบๆ เพราะว่ามันจะดึงกระแสพวกพลังงานฝ่ายด้านลบเข้ามา พยามใส่เสื้อสว่าง ใส่เสื้อขาว พยามรักษาศีล พยามเจริญสมาธิแผ่เมตตาเบิกทางไปก่อนเสมอ จะไปที่ไหนก็ตาม ทรงภาพพระคุมไว้ พระ 3 ฐานคุมไว้เสมอนะครับ ไม่ว่าจะอยู่ประเทศไทยหรือต่างประเทศก็ตามนะครับตอนนี้ก็พยามเข้มข้นนิดนึง อันนี้เตือนแล้วนะ เตือนไปหลายหนแล้ว แต่ว่าจริงๆ อยากบอกว่าก็เรื่องราวจริงจังพอสมควร ก็ป้องกันตัวเองให้เต็มที่เต็มกำลังก่อนนะครับ พระท่านก็ช่วยได้ตามกำลังของถ้าไม่เกินกฎของกรรม แต่ถ้าเราทำเหตุดี กรรมดีไว้สูงๆไว้ก่อนก็ บุญใหม่ก็มาช่วยกัน มาช่วยเบนกระแสกรรมที่มันจะเข้ามาตัดรอนได้นะ ดังนั้นก็สร้างความดีไว้เสมอ ขอให้ทุกคน
มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง โชคดีมีชัย มีแต่ความสวัสดี สุขภาพแข็งแรงทุกคนครับ ครับ สำหรับวันนี้ก็โมทนากับทุกคนด้วย ไว้พบกันครั้งหน้าสวัสดีครับ